วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เงินทำงาน

คนในประเทศเราเคยชินกับเครื่องมือชนิดเดียวที่ช่วยให้เงินทำงานงอกเงยด้วยตัวมันเองมานานหลายชั่วอายุคน นั่นคือการฝากเงินธนาคารโดยจะได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน หากแบงค์ล้มเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่หละหลวม เนื่องจากการทุจริตของผู้บริหารและพนักงาน หรือเนื่อง จากผลพวงของพิษเศรษฐกิจครั้งใด รัฐบาลก็จำเป็นจะต้องเข้าไปอุ้มชูแบงค์เพื่อไม่ให้พังไปทั้งประเทศเนื่อง จากเส้นเลือดใหญ่ทางการเงินที่หล่อเลี้ยงกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่ กลาง เล็ก ก็คือ แบงค์ หากปล่อยให้ล้มสัก 1 แบงค์ มันจะลามไปทั้งระบบ ทั้งประเทศ เพราะเมื่อคนเกิดตื่นตระหนกถอนเงินฝากออกกันทุกแบงค์พร้อมๆ กัน แบงค์จะเอาปัญญาไปหาจากไหนมาคืนได้ครบทุกคน เพราะเงินฝากเหล่านี้แบงค์เอาไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้กู้แล้ว ผู้กู้ที่ไหนจะไปมีปัญญาใช้คืนแบงค์ได้ทันที และหากผู้ฝากขอถอนเงินแต่แบงค์บอกว่าขอแปะไว้ก่อนนะ อีก 2-3 วันน่าจะหามาคืนให้ รับรองได้ว่าหากใครได้ยินข่าวนี้ก็จะรีบแล่นไปถอนเงินที่มีในทุกธนาคารทันทีแบบตัวใครตัวมัน แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าเงินที่เอาไปอุ้มแบงค์นั้น มาจากไหน คำตอบก็คือ มาจากภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากกิจการต่างๆ และจากประชาชน ซึ่งนั่นก็คือความไม่เป็นธรรมในระบบ จึงได้เกิดระบบการอุ้มแบบจำกัดวงเงินขึ้นมา นั่นก็คือ ต่อไปนี้จะอุ้มผู้ฝากเงินไม่เต็มจำนวนที่ฝากแล้วนะ เรามีองค์กรที่ชื่อว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เกิดขึ้นมาแล้วและตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2554 เขาจะอุ้มผู้ฝากรายละ 50 ล้านบาท พอถึง 11 สิงหาคม ปี 2555 ก็จะอุ้มผู้ฝากลดลงเหลือเพียงรายละ 1 ล้านบาทเท่านั้น ความจริงไม่น่าชื่อนี้เลย ควรชื่อ สถาบันจำกัดการคุ้มครองเงินฝาก ถึงจะถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือ ต่อไปนี้หากแบงค์ที่เราฝากเงินไว้เกิดล้มขึ้นมา เราจะได้เงินฝากคืนตามจำนวนที่ฝากไว้ แต่ได้คืนไม่เกิน 1 ล้านบาท คนจนไม่กระทบเลย แต่คนรวยที่เข้าใจดีจะเริ่มเครียด แต่จะไม่ทำให้เกิดอาการแตกตื่นแห่ถอนเงินจากแบงค์หนึ่งไปอีกแบงค์หนึ่งที่เชื่อว่าปึ้กกว่าทันที จนกว่าจะมีแบงค์ไหนล้มจริงๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนไทยยังชินกับความเชื่อที่ว่าแบงค์บอกว่าได้ดอกเบี้ย หรืออะไรที่แบงค์ขายหากบอกว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เราต้องได้เท่านั้น นั่นคือเราไม่รู้จักความเสี่ยง เชื่อว่าฝากเงินไม่เสี่ยง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดเอามากๆ ต่อไปนี้หากเรามีเงินเกิน 1 ล้านบาท ก่อนจะฝากเงินเราก็ต้องดูด้วยว่าแบงค์ที่เราฝากเขามีฐานะการเงินมั่นคงไหม มีคณะผู้บริหารที่เก่งและดีหรือไม่ ไม่ใช่ดูแค่ดอกเบี้ยว่าใครจะให้ดีกว่ากันหรือตัดสินใจเพียงเพราะรักใคร่ชอบพอกับผู้จัดการแบงค์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ผู้จัดการแบงค์ที่ไหนก็ไม่มีปัญญาจะหาเงินมาคืนเราได้ ต่อไปผู้ฝากต้องเข้าใจมากขึ้นว่า เสี่ยงมากได้ดอกเบี้ยมาก เสี่ยงน้อยได้ดอกเบี้ยน้อย ให้เลือกฝากได้ตามอัธยาศัย และจะไม่มีแบงค์ไหนที่ฝากเงินแล้วไม่เสี่ยงอีกแล้ว นอกจากนี้แล้ว เราต้องรู้จักแสวงหาช่องทางอื่นในการให้เงินทำงานด้วยตัวมันเองให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับการฝากเงินเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยจากการฝากเงินยังมีระดับต่ำเอามากๆ แบบนี้ แม้จะขึ้นดอกเบี้ยอีกสัก 1-2 ครั้ง ก็จะยังไม่ไปไหนเท่าไหร่ ยังต่ำกว่าเงินเฟ้อด้วยซ้ำ แต่ก็น่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ หรือกลัวความเสี่ยงที่จะไปสัมผัสอะไรที่นอกเหนือไปจากเงินฝาก ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนมากขึ้นได้รับประโยชน์จากการแสวงหาช่องทางเพิ่มเติมจนพบสิ่งเหมาะสมกับเขา คนเหล่านี้มีจำนวนประมาณ 2 ล้านบัญชี เขาเลือกให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม สมมติว่าเมื่อ 10 ปีก่อน เรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท แล้วเราเลือกนำเงินไปฝากประจำในสัดส่วน 90% ฝากออมทรัพย์ 10% พอถึงสิ้นปี 2552 ผลตอบแทนจากการฝากเงินของเราจะเท่ากับ 2.19% ต่อปีโดยเฉลี่ย โดยมีค่าความเสี่ยงที่อาจไม่เป็นเช่นนั้นที่ประมาณ 0.9% แต่หากเรานำงินลงทุน 1 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีก่อน ไปฝากประจำในสัดส่วน 10% ฝากออมทรัพย์ 5% ลงทุนในพันธบัตร 20% ลงทุนในทองคำ 5% ลงทุนในหุ้น 70% พอถึงสิ้นปี 2552 ผลตอบแทนบางปีโดยรวมติดลบ บางปีบวก แต่โดยเฉลี่ยแล้วเราจะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 7.06% โดยเฉลี่ยต่อปี โดยมีค่าความเสี่ยงที่อาจไม่เป็นเช่นนั้นที่ประมาณ 33% ลองเปรียบเทียบดูแล้วก็เลือกเอาเองว่าจะเลือกอยู่กับเงินฝากอย่างเดียวต่อไปเรื่อยๆ โดยต่อจากนี้ไปรัฐไม่ได้อุ้มแบงค์แบบเก่าอีกแล้ว หรือจะลองแสวงหาช่องทางอื่นมาช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินเรา แต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งเราต้องดูว่าในความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้น ผลตอบแทนคาดหวังจะคุ้มกับตัวเราหรือไม่เอาไว้ด้วย เมื่อใดที่คนไทยเริ่มเข้าใจแล้วว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่เงินฝาก เข้าใจแล้วว่าความเสี่ยงมีอยู่ทุกหนแห่ง และรู้ว่ามีช่องทางลงทุนอื่นๆ อีกมากที่จะทำให้เงินทำงานดีขึ้น เราก็เริ่ม “อ่านออก เขียนได้ทางการเงิน” แล้ว อย่าไปตกหลุมพรางของความไม่รู้ หรือความเชื่อผิดๆ ที่ว่าตลาดทุนคือแหล่งการพนัน มันเป็นแหล่งพนันจริงแต่ก็เฉพาะสำหรับนักพนันผู้หวังรวยทางลัดชั่วข้ามคืน แต่เป็นแหล่งลงทุนและทางเลือกของผู้ที่ต้องการแสวงหาหนทางให้เงินเราทำงานได้เป็นอย่างดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ หากไม่มีเวลา ไม่มีความรู้พอ ก็ให้เริ่มด้วยการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมเหมือนคนอื่นๆ ที่ใช้ช่องทางนี้ โดยจัดสรรเงินลงทุนกระจายไปในช่องทางลงทุนต่างๆ ให้เหมาะสมกับตนเอง แต่หากจะเป็นแฟนคลับตัวยงของเงินฝากต่อไป ก็ไม่มีใครขัด เงินของเรา เราเลือกได้ และต้องเลือกเองด้วย
บทความจาก THAIMUTUALFUNDNEWS

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

call option Put Option คำเฉลยข้อ 1-2

 
 Price of strikeexercise value(3)market(4)Premium(5)ราคาทุนของoption(4+5)price of stockกำไร(ขาดทุน) กำไร(ขาดทุน) กำไร(ขาดทุน) 
 Stock(1)Price(2)call(1)-(2), put(2)-(1)Price  The endส่วนต่างราคาหักราคาทุนของ optionในทางปฏิบัติ
call option43.7550-6.25am1.160108.98.9
put option43.7540-3.75bn2.2560-20-22.25-2.25
call option43.7545-1.25co4.75601510.2510.25
put option43.75451.25dp4.560-15-19.5-4.5
-22.612.4
สีเหลือง คือ Portforlio Value ซึ่งมีค่าเท่ากับ -22.6 ในทางปฏิบัติเราจะไม่ใช้สิทธิ option
 ที่มีราคาส่วนต่างเป็นลบ  ฉะนั้นเราจะขาดทุนเฉพาะราคาทุน option
สีม่วงคือ กำไร(ขาดทุน) ของ option แต่ละตัว และ Portforlio value เท่ากับ 12.4

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 6.17

ข้อ 6-17
Q. You have been managing a $5 million portfolio. The portfolio has a beta of 1.25 and a required rate of return of 12 percent. The current risk-free rate is 5.25 percent. Assume that you receive another $500,000. If you invest the money in a stock that has a beta of 0.75, what will be the required return on your $5.5 million portfolio?
A.    สมการ              kP    = kRF + (kM – kRF) bP          …………….(1)
        ต้องคำนวนหาค่า km จากสมการที่ 1  โดยการแทนค่าดังนี้
                              km  =  ((kP - kRF)/bP)+kRF
                                   =  ((12-5.25)/1.25)+5.25
                                   =   10.65
เมื่อลงทุนเพิ่ม ย่อมทำให้ค่า beta ของ Portfolio เปลี่ยนไป จึงต้องคำนวณหาค่า bi ใหม่(จะใช้ bi ตัวเดิมไม่ได้)
       สมการ            bn     =  w1b1+w2b2+…….+wnbn
การลงทุนเพิ่มโดยไม่ไปเปลี่ยนการลงทุนใน หุ้นตัวเดิมพบว่า
                           bn+1  =    bn(1-wn+1) + wn+1bn+1   ……………..(2)
จากสมการที่ 2 แทนค่าได้ดังนี้
 bn+1 =  1.25(1-(500,000/5,500,000))+((500,000/5,500,000)*0.75)  
 ….   =   1.20454545
จากสมการที่ 1 เราจึงคำนวณหา required return ของ Portfolio
ที่ $5.5 million ได้ด้วยการแทนค่าดังนี้
                            KP = 5.25 + (10.65-5.25)*1.20454545
                               = 11.75454545       

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 6.12

ข้อ 6-12
A. Calculate the required rate of return for Manning Enterprises, assuming that investors expect a 3.5 percent rate of inflation in the future. The real risk-free rate is equal to 2.5 percent and the market risk premium is 6.5 percent. Manning has a beta of 1.7, and its realized rate of return had averaged 13.5 percent over the last 5 years
Q. The equation ki    = kRF + (kM – kRF) bi
                                     kRF  = k* + IP
      ki   = required rate of return
    kRF = risk-free rate
    b  = beta
    k*  = real risk-free rate
    IP  = Inflation premium
    km-kRF = market risk premium
Therefore,  ki = (2.5+3.5)+ (6.5)*1.7
            …..ki = 17.05          

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 6.8

                                          ข้อ 6-8 
Q. Suppose you hold a diversified portfolio consisting of a $7,500 investment in each of 20 different common stocks. The portfolio beta is equal to 1.12. Now, suppose you have dicided to sell one of the stocks in your portfolio with a beta equal to 1.0 for $7,500 and to use these proceeds to buy another stock for your portfolio. Assume the new stock’s beta is equal to 1.75. Calculate your portfolio’s new beta
A. from equation beta = w1b1+w2b2+…..w20b20
      “w” of each common stocks = 5%  fraction of portfolio.
Sell one of stocks that b =1.0 and buy new stock that b = 1.75 Therefore, b different = 1.75-1.0
                           …. = 0.75
B different 0.75 will influence the portfolio beta only 5%  , we can calculate new bela for the portfolio = 0.75*5%
                                         ……    = +0.04
New beta(bn) will equal 1.12+0.04 = 1.16

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 5.6

ข้อ  5-6     
Q.     Suppose you believe that the economy is just entering a recession.  Your firm must raise capital immediately, and debt will be used. Should you borrow on a long-term or a short-term basis? Why?
A.   เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราดอกเบี้ยจะลดลง การหาเงินมาลงทุนควรเป็นลักษณะ a long-term เพราะมั่นใจได้ว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการชำระคืนก็สามารถใช้ระยะเวลานานขึ้น ซึ่งก็น่าสอดคล้องกับผลประกอบการที่ทำได้ยากในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 2.10

ข้อ  2-10  

Qa. What is Ronayne’s EVA?
Aa.  EVA = NOPAT – After-tax dollar cost of capital used to                 support operations.
NOPAT = EBIT(1-T)
….       = $6,375,000(1-0.4)
….       = $3,825,000
Total operating capital = Net operating working capital + Net fixed assets
….                             = $5,000,000+$37,000,000
….                             = $42,000,000
Weighted average cost of capitals is 8.5%.Therefore,Ronayne’s Total after-tax dollar cost of capital is $42,000,000*8.5% = $3,570,000
EVA = $3,825,000 - $ 3,570,000
Ronayne’s EVA = $255,000

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 2.8

ข้อ  2-8    

Qa. What is Bailey’s NOPAT for the year?
Aa.  NOPAT = EBIT(1-T)
                 = $4,000,000(1-0.4)
                 = $2,400,000
               
Qb. What is Bailey’s net cash flow for the year?
Ab. Net cash flow = Net income+ Depreciation and Amortization
                         = $1,500,000 +$3,000,000
                         = $4,500,000
Qc. What is Bailey’s operating cash flow for the year?
Ac. Operating cash flow = NOPAT+ Depreciation and Amortization
                                  = $2,400,000+$3,000,000
                                  = $5,400,000
Qd. What is Bailey’s free cash flow for the year?
Ad.   FCF = NOPAT – net Investment in operating capital
              = $2,400,000 – $1,300,000
              = $1,100,000
Qe.   What is Bailey’s EVA for the year?
Ae.  EVA = NOPAT – After-tax dollar cost of capital used to                 support operations.
                = $2,400,000 – $2,000,000
                = $ 400,000

Remark: $ ในโจทย์คือ Thousand dollar นั่นก็คือ 2 Billion จึงเป็น $2,000,000

BM702 คำตอบรายบุคคลข้อ 1-7

ข้อ  1-7    

Q. What’s the difference between stock price maximization and profit maximization?  Under what conditions might profit maximization not lead to stock price maximization?
A. Stock price maximization เป็นเรื่องของการทำราคา common stock ให้มีราคาสูงที่สุด ซึ่ง ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่อง quality of products and innovation และสามารถสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดี ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และเชื่อมโยงถึงการบริหารงานที่ดี เพื่อการกระจายสินค้าได้ทั่วถึง ฉะนั้นราคาหุ้นสามัญ เป็นเรื่องปัจจุบันและการคาดการณ์ผลงานของบริษัทในอนาคต
Profit maximization เป็นเรื่องการทำ Net income ให้ได้สูงสุด หรือทำให้ EPS สูงสุดนั่นเอง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Sales, COGS, Operating Expense, Interest, Tax และเป็นเรื่องของปัจจุบัน ณ รอบบันทึกบัญชีของบริษัทนั้น ๆ    สามารถนำตัวเลขไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในธุรกิจประเภทเดียวกันได้ และ ใช้เปรียบเทียบผลงานของตัวเองในอดีตได้ และมักจะเป็นตัวสะท้อนถึงแนวโน้มที่จะก่อให้เกิด cash flow ของบริษัทได้

โดยปกติ Profit Maximization จะสัมพันธ์กันค่อนข้างสูงกับ Stock price maximization แต่ในบางสภาวะเช่น การลงทุนเพิ่มใน asset เพื่อการคาดการณ์ผลงานของบริษัทในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันอาจทำให้ EPS ต่ำลง และก็จะไม่ lead to price maximization เพราะผู้บริหารสามารถชึ้แจงถึงการคาดการณ์ในอนาคต ถึงผลประกอบการณ์ของบริษัทได้

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

แนวข้อสอบ BM702 Financial Management chapter 1

อ้างอิงตำราของอาจารย์เริงรัก จำปาเงิน พยายามเขียนโจทย์เป็นภาษาอังกฤษ เผื่อข้อสอบถามเป็นภาษาต่างชาตินะครับ
Chapter 1  Overview of financial management
1.What are the firm's goals?  and How do they measure?
คำตอบ   Do maximized the price of the firm's common stock and value of firm to stockholder.
2.  Are Social responsibility and ethic important?  Why?
คำตอบ Yes ,  Because of social are composition of firm include employees,communities and social environment. If the firm support and run with good socialresponsibility, most consumers will support them.
While ethics can bring the firm down if result show in the future such as some pharmaceutical companies researched new chemical with some side effect data that were not be documented in the public.When they harm people in the future,that firm will pull down in common stock price.