วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทฤษฏีอรรถประโยชน์และ In difference curve

การบริโภค ในทาง Economic คือ
  1. การใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค  
  2. การนำสินค้าและบริการมาใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตเป็นสินค้าและบริการอื่น ๆ 
ปัจจัยที่ใช้กำหนดการบริโภค คือ
1.     รายได้ของผู้บริโภค
2.     ราคาสินค้าและบริการ
3.     ปริมาณเงินหมุนเวียนที่อยู่ในมือ
4.     บริมาณสินค้าในตลาด
5.     การคาดคะเนราคาของสินค้าและบริการในอนาคต
6.     ระบบการค้าและการชำระเงิน

การศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค มี 2 ทฤษฎี คือ
1.     ทฤษฏีอรรถประโยชน์(Utility Theory)
2.     ทฤษฏีเส้นความพอใจเท่ากัน(Indifference Curve Theory)

ทฤษฏีอรรถประโยชน์(Utility Theory)

@@ คือศึกษาความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าและบริการในขณะช่วงเวลาหนึ่ง
@@ สามารถวัดค่าได้
@@ มีหน่วยเป็น Util

ข้อจำกัดของ Utility Theory คือ
1.     อรรถประโยชน์มีหน่วยวัดเป็น Util เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิด ไม่มีตัวตน ไม่สามารถวัดค่าได้แน่นอน เป็นเพียงการประมาณตัวเลข ซึ่งอาจผิดพลาดได้
2.     ผู้บริโภคมักไม่คำนึงถึง MU อย่างแท้จริง เพียงแต่อาศัยความเคยชินในการซื้อสินค้าเท่านั้น
      3.  ผู้บริโภคไม่สามารถวางแผนที่จะซื้อสินค้าอะไร จำนวนเท่าใด จึงจะได้รับ TU สูงสุด เนื่องจากภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ตัวแปรที่เกี่ยวข้องคือ TU, MU, P, A
TU = TOTAL UTILITY อรรถประโยชน์รวม ความหมายคือ ความพอใจทั้งหมดที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภครวมที่หน่วยใดหน่วยหนึ่ง   มีหน่วยเป็น Util
MU = Marginal Utility อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม ความหมายคือ ความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับเพิ่มขึ้นจากการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้น 1 หน่วย มีหน่วยเป็น Util
PA  = Price ของสินค้าชนิด A   มีหน่วยเป็น หน่วยของเงินตราที่ใช้ต่อสินค้า 1 หน่วยเช่น บาทต่อ ขวด
A   = ปริมาณของสินค้าชนิด A มีหน่วยเป็น  หน่วยของสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น ขวด,ชาม,เล่ม เป็นต้น
B   = ปริมาณของสินค้าชนิด B มีหน่วยเป็น  หน่วยของสินค้าชนิดนั้น ๆ เช่น ขวด,ชาม,เล่ม เป็นต้น

TUn = MU1 + MU2 + MU3 + … MUn

ตัวอย่าง กินก๋วยเตี๊ยว
                      1  ชาม ได้รับความพอใจส่วนเพิ่ม    =   10 Util     นั่นคือ MU1 = 10 Util
2  ชาม ได้รับความพอใจส่วนเพิ่ม    =     8 Util     นั่นคือ MU2 =   8 Util
3  ชาม ได้รับความพอใจส่วนเพิ่ม    =     4 Util     นั่นคือ MU2 =   4 Util
4  ชาม ได้รับความพอใจส่วนเพิ่ม    =     0 Util     นั่นคือ MU2 =   0 Util
5  ชาม ได้รับความพอใจส่วนเพิ่ม    =    -2 Util     นั่นคือ MU2 =  -2 Util
ถ้าจะหาTU2คืออรรถประโยชน์รวมที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคก๋วยเตี๋ยว2ชามคือ  10+8 = 18 Util
จะพบว่า TU จะสูงสุดเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวที่ 4 ชาม = 10+8+4+0 = 22 Util จึงสรุปว่า TU จะสูงสุดเมื่อ MU = 0 นั่นเอง
(แล้วทำไมกิน 3 ชาม ไม่ถือว่า TU สูงสุด (22 util เท่ากัน) จะกินให้เสียเงินทำไมกัน
อ่านแล้วช่วยตอบหน่วย ฝึกสมองประลองปัญญาครับ
เมื่อผู้บริโภคได้รับ TU สูงสุดแล้วย่อมไม่คิดเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนการบริโภคไปจากเดิม  เราเรียกว่า  ดุลยภาพของผู้บริโภค หรือ ผู้บริโภคอยู่ในภาวะดุลยภาพ 

ดุลยภาพของผู้บริโภค แบ่งได้เป็น
1.     กรณีผู้บริโภคมีรายได้ไม่จำกัด      ราคาจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง 
2.     กรณีผู้บริโภคมีรายได้จำกัด          ราคาเริ่มเข้ามามีบทบาท
2.1             กรณีซื้อสินค้าชนิดเดียว
2.2             กรณีซื้อสินค้า 2 ขนิด ราคาเท่ากัน
2.3             กรณีซื้อสินค้า 2 ชนิด ราคาไม่เท่ากัน
กรณีที่ 1 กรณีผู้บริโภคมีรายได้ไม่จำกัด(ราคาจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง) 
        TU ของสินค้าแต่ละชนิดรวมกัน ณ ที่ MU=0 ของสินค้าแต่ละชนิด
กรณีที่ 2 กรณีผู้บริโภคมีรายได้จำกัด(ราคาเริมเข้ามามีบทบาท)
1.1       กรณีซื้อสินค้าตัวเดียว
   
       อรรถประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับจากสินค้าหน่วยนั้น  = อรรถประโยชน์ที่จะต้องสูญเสียไป จากการจ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหน่วยนั้น

               TU สูงสุด เมื่อ MU ของสินค้าหน่วยนั้น = MU ของเงินที่ใช้ซื้อสินค้าหน่วยนั้น

ถ้ากินก๋วยเตี๋ยว(a) 1 ชาม ในราคา 1 หน่วย(บาท) ได้อรรถประโยชน์ของเงินที่ใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยว(MUm)
       ก๋วยเตี๋ยว(a) 1 ชาม ในราคา Pa บาทได้อรรถประโยชน์ของเงินที่ใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยว =  MUm x Pa 
มีหน่วยเป็น Util/บาทต่อชาม  ฉะนั่นเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้

                                                   MUa = MUm X Pa

                                                   MUa = Pa                    กำหนดให้ MUm = 1 ค่าคงที่
2.2   กรณีซื้อสินค้า 2 ชนิด ที่มีราคาต่อหน่วยเท่ากัน จะเกิดดุลยภาพ เมื่อ MUx = MUY
2.3   กรณีซื้อสินค้า 2 ชนิด ที่มีราคาต่อหน่วยไม่เท่ากันจะเกิดดุลยภาพเมื่อ
     MUx/Py = MUx/Py 
ทฤษฏีเส้นความพอใจเท่ากัน(Indifference Curve Theory)

หมายถึง เส้นที่แสดงการบริโภคสินค้า 2 ชนิดในสัดส่วนที่แตกต่างกันแต่ได้รับความพอใจที่เท่ากันตลอดทั้งเส้น ไม่ว่าจะเลือกบริโภคที่จุดใดของเส้น มีแผนการบริโภคสินค้าอย่างไร ผู้บริโภคก็จะได้รับความพอใจที่เท่ากันทั้งเส้น
                   
Marginal Rate of substitution(MRS)

อัตราส่วนเพิ่มของการทดแทนกันของสินค้า 2 ชนิด หมายถึง การบริโภคสินค้าชนิดหนึ่งลดลงเมื่อบริโภคสินค้าอีกชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น 1 หน่วย เพื่อรักษาระดับความพอใจของผู้บริโภคให้คงเดิมหรือ  ดังนั้น MRSXY  คือ slope ของเส้น IC นั่นเอง
ตัวอย่าง
ถ้า MRSxy = -2 หมายความว่า การดื่ม coke ลดลง 2 แก้ว เมื่อกิน cake ร้านเฮงเฮง เบเกอรี่เพิ่มขึ้น 1 ชิ้น ส่วนเครื่องหมายลบหมายความถึง ความชันเป็นลบ นั่นเอง
ถ้า MRSyx =  0.5 หมายความว่า การกิน cake ร้านเฮงเฮง เบเกอรี่ลดลง ครึ่งชิ้น เมื่อดื่ม coke เพิ่มขึ้น 1 แก้ว 
ทั้ง 2 กรณีเพิ่มลด เพื่อรักษาระดับความพอใจไว้เท่าเดิมนั่นเอง
เส้นงบประมาณหรือเส้นราคา (Budget Line or Price Line)

หมายถึง เส้นที่แสดงถึงจำนวนต่างๆ ของสินค้า 2 ชนิด ที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่เท่ากันตลอดทั้งเส้น พิจารณา ณ ราคาตลาดในขณะนั้น เส้นงบประมาณจะมีลักษณะเป็นเส้นตรง ความชันเป็นลบเสมอ

การเปลี่ยนแปลงของ Budget Line ขึ้นอยู่กับ
1.     รายได้เปลี่ยนแปลง(income change)
2.     ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง
สมการของ Budget line คือ

                                                    B =  PxX  +  PyY
เมื่อ B    =  งบประมาณที่มีอยู่สำหรับซื้อสินค้า
      Px    =   ราคาสินค้า X      Py  =  ราคาสินค้า Y
      X   =  ปริมาณการซื้อสินค้า X      Y   =  ปริมาณการซื้อสินค้า Y

ดุลยภาพของผู้บริโภค(consumer’s equilibrium)
จุด E  คือจุดดุลยภาพ ซึ่งเส้น IC2 สัมผัสกับเส้นงบประมาณ พิจารณาได้ดังนี้
    ความชันของเส้นความพอใจเท่ากัน =    delta Y/    delta X =  MRSxy
    ความชันของเส้นงบประมาณ         =   delta Y/   delta X =  Px / Py

                               MRSxy           =     Px / Py
                                            : เก็บตกจาก Lecture และค้นคว้าเพิ่มเติม
                                              ต้น X13

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น